จบกันไปแล้วสำหรับงาน Apple Event ในรอบแรกของปี 2022 ที่มีชื่อว่า Peek Performance ซึ่งมาพร้อมกับความแรงและมีการเปิดตัวหลากหลายสิ่ง แต่จะมีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันเลยครับ
ก่อนอื่น Tim Cook ได้ออกมาเผยว่า Apple TV+ จะมี Content เพิ่มขึ้นและหนังใหม่มากมายและมีรวมถึง Apple Original Flims และยังมีการนำเสนอราคาการแข่งขันเบสบอล (Friday Night Base Ball)
iPhone 13
จากความสำเร็จของ iPhone 13 ถือว่าเป็นรุ่นเรือธงที่มีความประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับในรอบนี้มีการเปิดเผยสีสันใหม่ของ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro พร้อมเปิดจองวันศุกร์นี้
- สายมูถูกใจสิ่งนี้ Apple เปิดตัว iPhone 13 ใหม่ “สีเขียว” และ iPhone 13 Pro “สีเขียวอัลไพน์”
iPhone SE 5G (2022)
ในที่สุดถึงเวลาการเปลี่ยนแปลงของ iPhone SE ในรอบนี้คือการเพิ่มชิป Apple A15 Bionic เข้าไปในตัวมือถือรุ่นนี้จุดเด่นแน่นอนว่ามันเร็วมากขึ้น และดีไซน์เดิม แต่สีสันเปลี่ยนเป็นแบบ Midnight, Starlight และ Product Red มาพร้อมกับระบบ Touch ID และมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้น โดยการจัดการพลังงาน แถมยังรองรับการเชื่อมต่อกับ 5G
สำหรับกล้องของ iPhone SE ด้านหลังยังคงได้สเปกเดิมคือความละเอียด 12 ล้านพิกเซลพร้อมกับการเปลี่ยน Rich Tone ตามที่เราต้องการได้ ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 15 และสามารถอัปเกรดต่อไปได้ แถมหน้าจออัปเกรดรองรับ Super HDR4 ส่วนราคาของเครื่องอยู่ที่ 429 ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ส่วนราคา iPhone SE 5G ในประเทศไทยมีดังนี้
- 64GB = 15,900 บาท
- 128GB = 17,900 บาท
- 256GB = 21,900 บาท
รายละเอียดของ iPhone SE 5G
- สัดส่วน (ยาว x กว้าง x หนา) : 138.4 x 67.3 x 7.3 มม.
- น้ำหนัก: 179 กรัม
- การป้องกันน้ำและฝุ่น : IP67
- หน้าจอ: IPS LCD ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 750 x 1334 พิกเซล
- ชิปเซ็ต Apple A15 Bionic Hexa-core (2×3.22 GHz Avalanche + 4xX.X GHz Blizzard)+ Apple GPU
- การเชื่อมต่อ : WiFi 802.11 B/G/N/AC/AX, Bluetooth 5.0, GPS, A-GPS / 4G / 5G
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 15 สามารถอัปเดตได้
- ระบบความปลอดภัย
- ติดตั้งระบบสแกนลายนิ้วมือTouch ID
- กล้องหลัง : 12 ล้านพิกเซล (f1.7 Main)
- กล้องหน้า: 7 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี : 1821 mAh พร้อมกับ Fast Charge 18W + Wireless Charging
- แรม/ความจุ : RAM 3GB / ความจำ 64 / 128 / 256GB + iCloud Drive
- สี : แดง, ขาว, ดำ
iPad Air Generation 5
สำหรับดีไซน์ของ iPad Air Generation 5 นั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ที่เปลี่ยนคือนำชิป Apple M1 มาใช้ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น 60% เปลี่ยนกล้องหน้าเป็นความละเอียด 12 ล้านพิกเซล Ultra Wide รองรับฟีเจอร์ Center Stage เช่นเคย นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับการเชื่อมต่อกับ USB-C ได้เร็วขึ้น 2 เท่า และมาพร้อมกับ iPad OS เวอร์ชั่นใหม่ ที่มีฟีเจอร์ใหม่ทั้ง Application มากมายเช่น iMovie เวอร์ชั่นใหม่ที่ เหมาะกับสายตัดต่อ และยังรักษ์โลกเหมือนเดิม
ส่วนราคาของเครื่องเริ่มต้นที่ 599 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 19,xxx บาท เริ่มวางจำหน่าย 18 มีนาคม นี้ สำหรับราคาประเทศไทยมีดังนี้
Wi-Fi
- 64GB = 20,900 บาท
- 256GB = 25,900 บาท
Wi-Fi + Cellular
- 64GB = 25,900 บาท
- 256GB = 30,900 บาท
Apple Silicon M1 Ultra
ขุมพลังใหม่ล่าสุดที่เป็นการนำ M1 Max เข้ามาติดกันและมีการทำงานให้รวมกันทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ระดับ Desktop PC โดยให้ความเร็วสูงและมี Core สูงสุด 20 Core แต่ประหยัดพลังงานเพราะใช้ไฟจาก Power Supply 200W และถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โดยสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้ระดับ 2.0Gb/s
Mac Studio
มาถึง Mac Studio ที่มาพร้อมกับทรงแบบเดียวกับ Mac Mini แต่ว่า สูงกว่าและหนากว่าแบบไม่ต้องคิดมาก ความกว้าง 7.7 มิลลิเมตร หนา 3.7 มิลลิเมตร ระบายอากาศจากล่างขึ้นด้านบน และมาพร้อมกับช่องเสียบครบทั้ง Thunder Bolt 4 ช่อง, RJ45 LAN, HDMI, USB-A, USB-C ด้านหน้า, ช่องเสียบหุฟัง และ มีช่องเสียบ Card Reader ทางด้านหน้า
ขุมพลังที่ใช้เป็น M1 Max และ M1 Ultra ใหม่ล่าสุด รองรับ 48GB สำหรับ Video Memory และมี 64GB ที่ยังว่าพร้อมใช้ แถมมี SSD ที่ให้ความเร็วสูงสุด 7.4Gb/s และใช้พลังงานต่ำลง
สำหรับราคานั้น Mac Studio M1 Max เริ่มต้น 1,999 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 63,xxx บาท และ M1 Ultra จะเริ่มต้นที่ 3,999 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 132,xxx บาท
สำหรับราคาประเทศไทยมีดังนี้
- Mac Studio ขุมพลัง M1 Max = 69,900 บาท
- Mac Studio ขุมพลัง M1 Ultra = 139,900 บาท
Studio Display
สำหรับหน้าจอรุ่นใหม่จะมีขนาด 27 นิ้วมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงออฟชั่นทั้งการก้มและเงย สามารถซื้อเพิ่มได้ หรือจะไม่ใช้ฐานก็ได้ และยังให้สีสันได้ 14.7 ล้านสี ขนาดหน้าจอ 27 นิ้ว มาพร้อมกับหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับฟีเจอร์ Center Stage แบบเดียวกับ iPad
ให้ลำโพงทั้งหมด 6 จุดด้วยกันทำให้เสียงที่ออกมาดังและรองรับฟีเจอร์ Spatial Audio ช่องเสียบมี Thunderbolt 4 ให้ 1 ช่องรองรับการจ่ายไฟกำลัง 96W และที่เหลือเป็น USB-C ที่ต่อหน้าจอได้รวมกัน 5 หน้าจอพร้อมกัน โดยราคาของหน้าจอรุ่นนี้คือ 1,599 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 53,xxx บาท
สำหรับราคาประเทศไทยอยู่ที่ 54,900 บาท
ขอขอบคุณ – Sanook
รวมโปรเน็ตดีแทคสุดแรง คลิก
facebook
#โปรเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีแทค #สมัครเน็ตดีแทค